学习泰语的同学一定区分过泰语里的两个元音/aj/,虽然发音相同,但是在拼写单词的时候可不能随便使用,该是哪个就必须使用哪个,为了进行区分,还专门为它们两个取了名字,你知道它们的名字吗?知道它们的名字都是怎么来的吗?今天,我们就来告诉大家。
ผมได้เห็นลายพระราชหัตถเลขาของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว (ในหนังสือ “700 ปี ลายสือไทย” ของศาสตราจารย์กำธร สถิรกุล) ที่ทรงเรียกสระไอว่า ไม้มะไล แล้วสงสัยว่า คำว่า มะไลมาจากไหน
我看到 了拉玛六世王的手迹(在Kamthong Sathirakul教授的《泰国手迹700年》书中),将元音ไอ叫做ไม้มะไล,这个元音到底是哪里来的呢?
เปิดดู “พจนานุกรมไทย” ของ ดร.วิทย์ เที่ยงบูรณธรรม พบคำว่า มะไลก๊าด ซึ่งแปลว่า “ชื่อผ้าโสร่งเนื้อดีเป็นมันมาจากเมืองปลิกัด (Pulicat) ในอินเดีย” ไปคนละทิศเลย
在Wit Thiangburanatham博 士的字典中发现了มะไลก๊าด这个词,意思是:“来自印度布利格德的上等纱笼”,完全是两个意思。
คำที่ออกเสียงใกล้กับคำว่า มะไล ก็มีแต่คำว่า มาลัย ซึ่งแต่ก่อนเขียนว่า มาไลย ดังคำอธิบายในหนังสือแบบเรียนภาษาไทยชื่อ มูลบทบรรพกิจ ของพระยาศรีสุนทรโวหาร (น้อย อาจารยางกูร) ว่า
和มะไล发音类似的词只有มาลัย ,以前写作มาไลย,在Noi Acharayangkun编写的泰语教材中解释了这个词:
ไม้มลายลักษณชี้ สองสฐาน
ไม้มลาย这个符 号有两种情况
จักบอกแบบบรรหาร แห่งไว้
答 案就是
พวกคำมคธขาน ควรใส่ ยอแฮ
摩揭 陀语的词汇要加ยอแฮ
ไม้มลายล้วนใช้ ส่วนข้างคำสยาม
暹罗语 的词汇才用ไม้มลาย
ผู้แต่งได้ยกตัวอย่างคำศัพท์ให้ดูมากมายหลายคำ ซึ่งผมคัดมาเพียงบางคำดังนี้ ชลาไลย อายุไขย วินิจไฉย อวยไชย จุธาธิปะไตย พระหฤไทย วิไนย โรคไภย สงไสย อาไศรย มาไลย เหล่านี้ล้วนเป็นคำที่มาจากภาษามคธทั้งสิ้น
作者使用了很多词作为例子,我挑选了下面几个:ชลาไลย อายุไขย วินิจไฉย อวยไชย จุธาธิปะไตย พระหฤไทย วิไนย โรคไภย สงไสย อาไศรย มาไลย,这些词全部来自摩 揭陀语
ปัจจุบันเราใช้ไม้หันอากาศ ตามด้วยตัว ย เว้นแต่คําที่ใช้สระ เ-ยฺย มาก่อน เช่น ไทยธรรม อธิปไตย ไสยศาสตร์ เป็นต้น คำไทยแท้ไม่ต้องมีตัว ย ตาม
现 在我们用半个短元音a再加上ย这个辅音字母,除了以前用เ-ยฺย这个元音的词汇,例如ไทยธรรม อธิปไตย ไสยศาสตร์等等,纯泰语的词汇不需要加ย在后面。
ตามธรรมดา เรามักจะเรียกชื่อตัวอักษรตามคำศัพท์ที่ใช้อักษรนั้น ๆ เช่น ก ไก่, ข ไข่, ธ ธง, ร เรือ บางคนเรียกว่า ธ เธอ, ร รักษา แสดงว่าเขาเรียกชื่อตามศัพท์ซึ่งอาจจะเป็น ธง หรือ เธอ ก็ได้ เรือ หรือ รักษา ก็ได้ แต่ที่นิยมมากกว่าคือศัพท์ที่เป็นคำนาม เพราะสามารถเขียนรูปประกอบได้ ทำให้เด็กจำได้ง่าย คำว่า ธ เธอ และ ร รักษา ก็เลยไม่มีใครใช้ และคนสมัยนี้อาจจะไม่เคยได้ยินเลยก็ได้
一般情况下,我们会根据字母所用的词汇来给字母命名,例如ก ไก่, ข ไข่, ธ ธง, ร เรือ,有些人也叫ธ เธอ, ร รักษา,说明可以根据ธง 或者เธอ, เรือ 或者รักษา为字 母命名都可以,但是更习惯于使用名词来命名,因为可以画出图片来展示,让儿童更加容易记忆,所以ธ เธอ 和ร รักษา用的人就比较少,现代人可能都没有听过。
สระอื่น ๆ ไม่มีเสียงพ้องกัน จึงไม่จำเป็นต้องอาศัยศัพท์ช่วย แต่ สระใอ สระไอ จำเป็นต้องเรียกให้ต่างกัน จึงมีชื่อว่า สระใอไม้ม้วน ตามรูปร่างลักษณะของมัน
其他元音没有发 音相同的,所以不需要用词汇来给它们命名,但是元音ใอ 和ไอ同音,所以需要区分,于是就将ใอ根据其外形特征称为ไม้ม้วน。
ส่วนสระไอนั้น ท่านคงจะเรียกตามศัพท์ที่รู้จักกันแพร่หลายคือ มาไลย ซึ่งแปลว่า พวงดอกไม้ ฟังเพราะหู และมองเห็นภาพที่สวยงามด้วย ถ้าเรียกว่าไม้มลาย ความหมายไม่ค่อยเป็นมงคลเลย เพราะมลาย แปลว่า “ตาย, แตก, ทำลาย, สูญไป” คนไทยแต่ก่อนถือนักเรื่องถ้อยคำที่เป็นอัปมงคล จะไม่ยอมใช้กันง่าย ๆ
至于ไอ这个元音,可能就是根据大家都熟知的使用这个元音的词มาไลย为它命名了,这个词的意思是“花串”,听起来很好听,而且也能想象出美丽的画面。如果我们把 这个元音叫做ไม้มลาย,那意思就不是特别吉利了,因为ไม้มลาย的意思是“死亡、破裂、破坏、消失”,以前的泰国人非常忌讳这些不吉利的话语,不会轻易使用的。
บางท่านว่า “มลาย” แผลงมา จาก “มาย” ซึ่งเป็นคำในภาษาไทยพายัพและอีสาน แปลว่า “คลาย” ตรงข้ามกับคำว่า “ม้วน” แต่ในวรรณคดีไทยภาคกลาง ผมไม่เคยเห็นท่านใช้คำว่า มลาย ในความหมายว่า “คลาย” เลย แม้แต่คำว่า “มาย” เองก็ไม่มี แล้วจะเอาอะไรมาแผลง ?
有些人说มลาย 这个词音变自มาย,这个词是泰国西北和东北方言中的词汇,意思是“展开”,和ม้วน “卷”是反义词,但是在泰国中部的文学作品中,我没有见到过มลาย这个词用做“展开”的意思,就连มาย这个词哦读没有,那是从来音变的呢?
อักษรธรรมล้านนามีสระไอเพียงรูปเดียว เรียกว่า ไม้ไก๋ ไม่มีคําว่าไม้ม้วน ไม้มาย แต่อักษรธรรมอีสานมีทั้งสระใอและสระไอ จากการพิจารณาดูรูปร่างของสระใอในหนังสือ “อักษรธรรมอีสาน” ของอาจารย์เพ็ญพักตร์ ลิ้มสัมพันธ์ แห่งภาควิชาภาษาตะวันออก คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร หางของสระใอ ถ้าไม่เหยียดออกก็เพียงแต่งอลงมาเล็กน้อย ไม่ถึงกับม้วนขอดเหมือนสระไอของภาคกลาง
兰纳文字中只有一个原因aj的字母,叫做ไม้ไก๋,没有ไม้ม้วน ไม้มาย这两个词,但是东北泰文有ใอ和ไอ两个元音,可以从艺术大学考古学院东方语言系Phenphak Limsamphant老师的《东北泰文字母》一书中看到元音ใอ的形状,ใอ的尾巴没有伸出去,而是向下了一些,但是没有像中部泰语ไอ那样完全卷下来。
เมื่อไม่มีไม้ม้วน แล้วจะมีไม้มายได้อย่างไร หนังสือ “อักษรธรรมอีสาน” ดังกล่าวก็ไม่ได้เรียกสระใอไม้ม้วน หรือสระไอไม้มายแต่อย่างใด ถ้าหากจะมีตำราอักษรธรรมอีสานที่เรียกเช่นนั้น ก็คงจะเป็นตําราที่แต่งขึ้นภายหลังด้วยอิทธิพลของภาษาไทยภาคกลาง ซึ่งเผยแพร่เข้าไปพร้อมกับพระราชบัญญัติการประถมศึกษา สมัยรัชกาลที่ 6
如果没有ไม้ม้วน,那怎么会有ไม้มาย呢?《东北泰文字母》没有把ใอ和ไอ叫做ไม้ม้วน和ไม้มาย,如果有东北泰文字母的书中这么叫,那也是因为后来被中部泰语影响后创作的 ,中部泰语的影响在拉玛六世时期基础教育法案中传播开来。
ความจริงอักษรธรรมอีสานก็มาจากอักษรธรรมล้านนานั่นเอง ดังที่ อ. เพ็ญพักตร์เขียนว่า
其实东北泰文字 母也是来自兰纳泰文,如Phenphak老师写到的:
“นักประวัติศาสตร์และโบราณคดีทั้งหลายจึงลงความเห็นว่า รูปแบบอักษรธรรมอีสานได้รับมาจากทางภาคเหนือของประเทศไทย โดยผ่านทางอาณาจักรลานช้างอีกทอดหนึ่ง… พงศาวดารโยนกและพงศาวดารลาวฉบับกะซวงสึกสาทิกานลาวกล่าวตรงกัน ว่า
“各位历史学家 和考古学家认为,东北泰文字母来自泰国北部,通过兰纳王国进行传播,Yonok编年史和老挝教育部版本的编年史也记载了:
‘ศักราช 885 (พ.ศ. 2066) พระเจ้าโพธิสาลราชแต่งทูตไปขอพระไตรปิฎกจากนครเชียงใหม่ 60 คัมภีร์ พร้อมทั้งพระเทพมงคลเถระกับบริวาร’ มาเผยแพร่พุทธศาสนาลัทธิลังกาวงศ์ในลานช้าง จากอิทธิพลทางศาสนานี้ อักษรธรรมจึงถูกนำมาใช้อย่างแพร่หลายมากขึ้น เมื่อเป็นเช่นนี้จึงเห็นได้ชัดเจนยิ่งขึ้นในการถ่ายทอดวัฒนธรรมด้านอักษรธรรม ซึ่งใช้ในทางศาสนาระหว่างลานนาและลานช้าง”
‘佛历2066年,澜沧王国国王波迪萨拉派遣使团去清迈请回了60部佛经,以及高僧和其随从,’来澜沧王国宣讲佛教,通过宗教的影响,东北泰文字母的使用更加广 泛,这样的话通过澜沧王国和兰纳王国的宗教传播文化的情形就更加清楚了。”
คําว่า ไม้มาไลย กลายเป็นไม้มลายไปนั้น ก็เหมือนที่เราพูดว่า “ไม่ด้าย” หรือ “ไม่ช่าย” แทนที่จะออกเสียงว่า “ไม่ได้” หรือ “ไม่ใช่” นั่นเอง บางคำนอกจากจะออกเสียงยาวไปแล้ว ยังเขียนให้อ่านตามเสียง ใหม่นั้นด้วย เช่นคําว่า “ข้าว” ซึ่งภาคเหนือและภาคอีสานยังออกเสียงว่า “เข้า” เหมือนสมัยพ่อขุนรามคําแหงอยู่จนกระทั่งทุกวันนี้
ไม้มาไลย这个词变成了ไม้มลาย,就好像我们现在说“ไม่ด้าย”和“ไม่ช่าย”这样,而不是说“ไม่ได้”和“ไม่ใช่”,有些词除了发音变长之外,写法也和读法一起改变了,比如“ข้าว”这个词,北部和东北部方言会叫做“เข้า”,就像兰甘亨时期的叫法那样。
知道了来龙去脉,以后千万不要再拼错了哦!
声明:本文由沪江泰语编译整理,素材来自silpa-mag,未经允许不得转载。如有不妥,敬请指正。